โดย ADMIN-Lifester จำนวนผู้ชม: 13392

22 Apr 20

RFVOLUTION x JOJO PHOTOGRAPHY

 

หนึ่งเทรนด์ถ่ายภาพที่ฮิตกันมาในทุกยุคทุกสมัยมองไปทางไหนก็เจอคงหนีไม่พ้นภาพ Portrait หน้าชัดหลังละลายที่ปัจจุบันเราเปิดดูกันอยู่ทุกวันในโซเชียลมีเดีย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจว่าเบื้องหลังความนุ่มละมุนสวยงามก็แอบแฝงไปด้วยรายละเอียดต่างๆ มากมายในนั้น “คุณโจโจ-เกติรวี ไพโรจน์ไชยกุล” ช่างภาพสาย Wedding ที่คลุกคลีอยู่กับการถ่ายภาพ Portrait มากว่า 17 ปีบอกกับเราว่า… 

 


      
“ในสายงานของมืออาชีพ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นมองข้ามนี่แหละที่เข้ามาสร้างความแตกต่างให้ผลงานของเรา” 


ซึ่งแน่นอนว่าหน้าที่เก็บรายละเอียดภาพก็ต้องยกให้กับเลนส์คู่ใจอย่าง Canon RF85mm f1.2L USM และ RF85mm f1.2L USM DS ที่คุณโจโจให้นิยามว่าเป็นเลนส์ช่วงที่เหมาะกับการถ่าย Portrait เพราะมีความคล่องตัวสูง ถ่ายคนได้ครอบคลุมทุกระยะ

 


          
“ปกติเลนส์ Canon แต่ละตัวจะมีคาแรกเตอร์ที่ไม่เหมือนกัน แต่เลนส์ส่วนใหญ่จะมี Contrast ที่ไม่จัดมาก เพื่อคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเรื่องงานผิว (Skin Tone) แต่พอมาเป็นเลนส์ RF มันพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น แถมเสน่ห์ที่เป็นคาแรกเตอร์ของ Canon อย่างเรื่องความสมูทของ Skin Tone ถ่ายแล้วผิวดูสุขภาพดีดูเด่นขึ้นมาจากเดิม”

 


         
ในมุมของการทำงานร่วมกับกล้อง เลนส์ RF85mm f1.2L ทั้งสองตัวยังช่วย Support ให้ฟังก์ชันต่างๆ ของกล้องทำงานได้เต็มรูปแบบยิ่งขึ้น 

 


     

“อย่างเวลาต้องการ Track โฟกัสในช็อตที่แบบวิ่งเข้าหากล้อง ประสิทธิภาพของเลนส์จะช่วยให้จับโฟกัสได้แบบไม่มีหลุดตั้งแต่ระยะไกลจนถึงใกล้ หรือแม้แต่การค้นหา (Detect) โฟกัสได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำแม้ในสถานการณ์ที่แสงมีความเปรียบต่างสูง เพราะเลนส์สามารถแยกรายละเอียดทุกอย่างออกมาให้หมดแล้ว”


นอกจากนี้คุณโจโจยังยอมรับกับเราอีกว่าคุณภาพของเลนส์ทั้งสองตัวจัดว่า “เนี๊ยบ” มาก จากตอนแรกที่คาดหวังว่าเลนส์ RF ที่เป็นตระกูล L จะต้องคมมาก และพอได้มาสัมผัสจริงๆ ก็ไม่ผิดหวังเลย

 


     
“ในส่วนของ Contrast เลนส์ก็สามารถแยกส่วนที่เราอยากให้ชัดได้คมมาก ส่วนที่อยากให้เบลอก็เบลอแบบละลายไปเลย อย่างเลนส์รุ่นเก่าๆ เวลาเบลอก็จะมีความ Blend จากความไม่สมบูรณ์ เช่น การแยกเส้นขอบที่ไม่คม ขณะที่เลนส์ RF ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นจากเลนส์รุ่นก่อนๆ มาก ภาพที่ได้ออกมาดูมีมิติมากขึ้น จุดที่เลนส์โฟกัสเข้าก็จะเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน ส่วนที่เบลอก็จะค่อยๆ เกลี่ยสีให้เนียน และหากภาพนั้นมีส่วนที่เป็นจุดมืดกับสว่างตัดกัน เส้นขอบก็จะคมและไม่แหว่งเหมือนแสงเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ไม่มีเอฟเฟคของขอบม่วง ขอบน้ำเงิน หรือขอบเขียว ที่เกิดจากการกระจายของแสงให้เห็นเลย พูดง่ายๆ คือเนี๊ยบมากจริงๆ เวลาเอาภาพมาขยาย มันไม่ใช่แค่เรื่องของ Resolution กล้องอย่างเดียวแต่เป็น Resolution ของเลนส์ด้วย คงไม่มีใครอยากได้รูป Portrait ที่หน้าชัด ตาชัด แต่พอ Zoom ออกมาด้านหลังมีขอบม่วงหรือเส้นผมแหว่งจากเลนส์ที่ไม่สมบูรณ์ เราใช้กล้อง 30 ล้านก็อยากได้ภาพ 30 ล้านจริงๆ ที่ Crop ตรงไหนไปใช้ก็ชัด ไม่มีที่ติ”


พอถามถึงความแตกต่างระหว่างเลนส์ RF85mm f1.2L USM กับ RF85mm f1.2L USM DS คุณโจโจก็ตอบติดตลกว่าเป็นเรื่องของราคา ก่อนจะอธิบายให้ฟังต่อว่าความจริงแล้วเลนส์ทั้งสองตัวไม่มีตัวไหนดีมากหรือน้อยไปกว่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าชอบแบบไหนหรือตัวไหนเหมาะสมกับงานของคุณมากกว่า

 


 
“เลนส์แต่ละตัวมีคาแรกเตอร์โบเก้ของตัวเอง เพราะฉะนั้นความแตกต่างของเลนส์ทั้ง 2 ตัวจะเห็นได้ชัดมากๆ ในสถานการณ์ที่ภาพนั้นมีความเปรียบต่างแสง (Contrast) สูง จากภาพจะเห็นว่ารูปทรงโบเก้ของ RF85mm f1.2L USM จะเป็นรูปที่เราคุ้นตากันในเลนส์ทั่วไป ที่โบเก้จะเป็นดวงกลมซ้อนกันระยิบระยับ แต่เสน่ห์ของโบเก้จากเลนส์ RF85mm f1.2L USM DS นั้นจะมีลักษณะนุ่มละมุน ฟุ้งๆ ชวนฝัน ช่วยทำให้ตัวแบบโดดเด่นออกมาจากฉากหลัง ทำให้ภาพดูมีมิติมากขึ้นซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเลนส์ RF85mm f1.2L USM DS”

 

 

 “นอกจากเรื่องโบเก้ที่สร้างมิติให้กับภาพ ถ้าสังเกตการไล่โทนสีของฉากหน้า (Foreground) จะเห็นได้ว่าภาพจากเลนส์ RF85mm f1.2L USM DS จะสามารถไล่โทนสีได้สมูท นั่นเพราะว่าเลนส์ตัวนี้สามารถเกลี่ยค่าสีและ Contrast ได้ดี เหมือนมีการใส่ฟิลเตอร์เข้าไปเพื่อเพิ่มความสมูทให้กับภาพถ่าย ภาพที่ได้เลยดูละมุนและนุ่มนวล ส่วนเรื่องสีผิวที่ได้จากเลนส์ทั้ง 2 ตัวนี้ก็ไม่ทำให้ช่างภาพสาย Portrait ผิดหวัง ตรงตามแบบฉบับที่เป็นเอกลักษณ์เรื่องงานผิวของเลนส์แคนนอนที่โดดเด่นอยู่แล้ว”

 

 

 “เลนส์ RF85mm f1.2L USM DS จะกินแสงมากกว่า RF85mm f1.2L USM อยู่ประมาณ 1.3 สตอป โดยสังเกตจากกราฟ Histogram จะเห็นว่าภาพจากเลนส์ทั้งสองตัวจะตั้งค่าเท่ากันทุกอย่าง ยกเว้นค่า Speed Shutter ที่ต่างกัน 1 สตอป (1/2500 sec. และ 1/5000 sec.) ซึ่งในส่วนพื้นที่สว่าง (Highlight) จะมีค่าที่แตกต่างกัน แต่ในส่วนพื้นที่ Mid Tone หรือสีเท่ากลางจะมีค่าเท่ากัน ผลที่ออกมาจึงเห็นได้ว่าเลนส์ RF85mm f1.2 USM DS สามารถไล่โทนแสงและสีได้ดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่ออยู่ในสภาพแสงที่ค่อนข้างสว่างหรือมีแสงจ้าตกกระทบตัวแบบ การทำงานของเลนส์ RF 85mm f1.2L USM DS จค่อนข้างได้เปรียบมากเลยทีเดียว เพราะสามารถเปิดค่ารูรับแสงที่ f1.2 ทะลุทะลวงได้เลย เนื่องจากเลนส์ตัวนี้สามารถเก็บรายละเอียดสีผิวของตัวแบบในที่สว่างได้ดี สังเกตได้จากบริเวณใบหน้าของตัวแบบที่ผิวโดนแดดเยอะๆ รายละเอียดของเนื้อผิวจะถูกเกลี่ยและไล่โทนสีของผิวให้สมูท ทำให้ภาพดูละมุนไม่มี Highlight กระโดดขึ้นมา”

    

 

หลังจากเล่าประสบการณ์ร่วมกับเลนส์ซีรี่ย์ RF ทั้งสองตัวให้เราฟังแล้ว คุณโจโจยังทิ้งท้ายกับเราอีกว่า ติดใจการใช้งานกล้อง Canon EOS R ร่วมกับเลนส์ RF85mm f1.2L USM และ RF85mm f1.2L USM DS เอามากๆ จนแทบจะไม่ได้จับกล้องตัวอื่นเลย แค่นี้ก็น่าจะบอกได้ว่าเลนส์ RF เข้ามาปฏิวัติการถ่ายภาพของเขาขนาดไหน
 

Admin : 17/08/2020 19:22:22

1